Rainbow Maker คือซีรีส์การเมืองเรื่องเพศก่อนเลือกตั้ง 66 ที่เราจะชวนนักการเมืองและผู้สร้างนโยบาย (Policy Maker) ที่ทำงานในประเด็นความเสมอภาคทางเพศจากพรรคการเมืองต่าง ๆ มาสนทนาถึงการขับเคลื่อนประเด็นภายใต้สถานการณ์ที่ประชาธิปไตยตั้งท่าจะทอดทิ้งความเสมอภาคทางเพศอยู่เสมอ และความตั้งมั่นต่อการต้านปิตาธิปไตย ที่ยังไหลเวียนอยู่ในการเมืองไทยขณะนี้
ก่อนจะเปิดตัวอีกครั้งในฐานะผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ‘คิวเบเล่ย์’ คณาสิต พ่วงอำไพ ได้รับการจดจำในฐานะนักกิจกรรมที่วิพากษ์ระบบสองเพศอย่างถึงพริกถึงขิง วันนี้เราพบนักเคลื่อนไหวคนนี้ในบทบาทใหม่ แต่ยังมาพร้อมลิปสติกสีสดและการแต่งกายที่ประกาศจุดยืนอย่างชัดเจน เช่นเดียวกับภาพของเขาในหน้ารวบรวมผู้สมัครในเว็บไซต์พรรคก้าวไกล เราก็ได้เห็นคณาสิต พ่วงอำไพ ในบัญชีรายชื่อลำดับที่ 55 พร้อมรูปถ่ายยังคงรักษาอัตลักษณ์เอาไว้อย่างเข้มแข็ง
จากบทบาทนักกิจกรรมนอนไบนารีที่ขับเคลื่อนและเรียกร้องสิทธิเพื่อคนข้ามเพศและผู้มีความหลากหลายทางเพศที่ตกเป็นเป้าของความโจมตีด้วยเหตุแห่งเพศอยู่บ่อยครั้ง อะไรทำให้คิวเบเล่ย์ตัดสินใจเข้าสู่สนามการเมือง และเข้าร่วมในพรรคการเมืองที่สังคมมองว่ามีนโยบายที่ก้าวหน้าเรื่องความเท่าเทียมทางเพศมากที่สุดพรรคหนึ่ง ครอบคลุมทั้งสมรสเท่าเทียม นโยบายรับรองเพศสภาพ คำนำหน้าตามสมัครใจ และจุดมุ่งหมายในการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเพศ
แต่ในอีกด้าน ช่วงเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลเองก็ตกเป็นประเด็นจากการที่คนในพรรคเป็น ‘ผู้กระทำ’ ความรุนแรงมากกว่าหนึ่งครั้ง และการจัดการของพรรคเองก็ไม่ได้ก้าวหน้านัก เมื่อเทียบกับนโยบายที่ดูจะละเอียดอ่อนในประเด็นเพศ จนเป็นที่พูดถึงในสังคมออนไลน์ว่าไม่ว่าพรรคการเมืองจะอยู่บนสเปกตรัมทางการเมืองแบบไหน ก็ตกม้าตายในเรื่องเพศ
Spectrum ชวน ‘คิวเบเล่ย์ คณาสิต พ่วงอำไพ’ คุยเรื่องการเคลื่อนไหวเรื่องเพศในสถาบันการเมืองที่ระบบสองเพศที่ชายเป็นใหญ่เข้มแข็งที่สุด การทำงานในฐานะนักการเมืองที่ไม่ใช่ทั้งหญิงและชายในแวดวงการเมืองเป็นอย่างไร ผู้หญิงและผู้มีความหลากหลายทางเพศยังต้องเผชิญอคติทางเพศหรือไม่ และสำหรับเขาแล้ว พรรคก้าวไกลจริงใจแค่ไหนต่อการจัดการ ‘ความรุนแรงทางเพศ’ ที่เคยเกิดขึ้น
คิวเบเล่ย์ คณาสิต พ่วงอำไพ เป็นใคร
เป็นผู้ก่อตั้งกลุ่ม Non-Binary Thailand ปัจจุบันออกจากกลุ่มแล้วแต่ยังทำประเด็นเกี่ยวกับของชุมชนอยู่เหมือนเดิม
ช่วงเวลาที่เคลื่อนไหวในภาคประชาสังคมคงเคยตอบไปหลายครั้งแล้ว แต่ในฐานะนักการเมือง วันนี้คุณคิวจะอธิบายคำว่า Non-Binary ให้ประชาชนเข้าใจได้ว่าอย่างไร
ในฐานะ NGO นะ คำถามนี้ไม่อยากตอบแล้ว (หัวเราะ) แต่จะตอบในฐานะนอนไบนารีที่อยู่ในพรรคการเมือง นอนไบนารีคือหนึ่งในผู้มีความหลากหลายทางเพศ เป็นคนที่รับรู้ว่าตัวเองไม่ใช่ผู้ชายผู้หญิงในกฎหมายระบบสองเพศเช่นบ้านเรา แต่มีตัวตนเป็นอื่น ตอนนี้คนอาจยังไม่เข้าใจ เพราะว่าเรายังไม่มีตัวตนทางกฎหมาย แต่วันหนึ่งคนจะเข้าใจมากขึ้นเมื่อเราระบุคำว่านอนไบนารีลงไปในรัฐธรรมนูญ และในกฎหมายต่าง ๆ
คุณคิวอธิบายได้เข้าใจง่ายมาก
วันนี้พูดให้ง่ายที่สุดเลย แล้วเดี๋ยววันหนึ่ง เดี๋ยวคุณก็ได้เข้าใจว่าเรามีตัวตนในทางกฎหมาย มาช่วยกันผลักดันกฎหมายค่ะ แล้วจะได้รู้จักนอนไบนารีมากขึ้น คิวก็พยายามหาคำที่สั้นที่สุด เข้าใจง่ายที่สุด ก็เป็นคนเหมือนกันนี่ล่ะค่ะ แต่ว่าเป็นคนที่ไม่ใช่ผู้ชายผู้หญิง ที่อยู่ในระบบสองเพศ เป็นผู้มีความหลากหลายทางเพศกลุ่มหนึ่ง
ทำไมถึงปรับบทบาทจากนักกิจกรรมมาทำงานการเมือง
เราเป็นนอนไบนารี แล้วเห็นว่ายังไม่มีนอนไบนารีสักคนเลยที่เข้าไปทำงานการเมือง วันหนึ่งเราก็เอ๊ะขึ้นมาว่าเราสามารถทำอะไรได้มากกว่านี้หรือเปล่า เหตุผลสำคัญอีกอย่างคือเดิมตอนที่เป็นภาคประชาสังคม ถ้าอยากจะแก้ไขกฎหมายหรือต้องการสิทธิอะไรสักอย่างหนึ่ง เราต้องเดินไปหาองค์กรภาครัฐ ไปพบนักการเมือง ตอนนั้นเราทำได้มากสุดคือต่อรอง แล้วก็ร้องขอวิงวอน
ประกอบกับตอนนั้นเป็นช่วงที่พรรคอนาคตใหม่เกิดขึ้นพอดี แล้วเราก็ไปเจอแกนนำเครือข่ายเยาวชนคนรุ่นใหม่ (New Gen Network – NGN) พูดคุยแล้วรู้สึกว่าเห็นการเมืองคนรุ่นใหม่ มีไฟ มีความสร้างสรรค์
เห็นความเป็นไปได้ เรารู้สึกมีแรงบันดาลใจ จากนั้นพอช่วงใกล้ถึงเวลาเลือกตั้งก็พบว่ายังไม่มี ส.ส. ที่เป็นผู้มีความหลากหลายทางเพศเลย เลยตัดสินใจลงสมัคร ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่ ต่อมาเราทราบว่าพรรคได้ทาบทามพี่กอล์ฟ ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ ซึ่งได้เป็น ส.ส. ในเวลาต่อมาและเราได้ไปทำงานกับเขาในฐานะผู้เชี่ยวชาญประจำตัว ทำงานไปเรื่อย ๆ ก็ได้โอกาสเข้าไปทำงานเป็นที่ปรึกษาแบบไม่มีค่าตอบแทนอยู่ชั่วคราวที่กรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ และผู้มีความหลากหลายทางเพศ จนกระทั่งพี่กอล์ฟโดนตัดสิทธิจากศาลรัฐธรรมนูญในประเด็นถือหุ้นสื่อ ซึ่งจริง ๆ เป็นสื่อภาพยนตร์ แต่ด้วยความอภินิหารการตีความก็เลยถูกตัดสินให้มีความผิดเหมือนกรณีคุณธนาธร ทำให้พี่กอล์ฟโดนตัดสิทธิ เราก็เสียสภาพการเป็นผู้ชำนาญการไปด้วยทันที และหลังจากนั้นไม่นานก็ถูกปลดออกจากงานที่ปรึกษากรรมาธิการ
จนกระทั่งมาถึงการเลือกตั้งครั้งนี้ เรารู้สึกว่า ส.ส. LGBTQIAN+ ที่มีอยู่ก็ทำงานโอเคแล้ว แต่การมีเราเข้าไปเพิ่มอีกสักคนหนึ่งก็น่าจะเสริมความแข็งแกร่งให้กับประเด็นเรื่องการต่อสู้เรื่องสิทธิความเสมอภาคทางเพศให้กับพรรคได้ เพราะถึงแม้ว่าพรรคจะเปิดพื้นที่แล้วก็เป็นพรรคแรก ๆ ที่ทำเรื่องสมรสเท่าเทียมและมีนโยบายเกี่ยวกับผู้มีความหลากหลายทางเพศที่ชัดเจน แต่สำหรับคิวในฐานะที่เราเป็น NGO และเป็นเจ้าของประเด็นมาก่อน คิวรู้สึกว่ายังไม่พอ มันจะต้องทำมากกว่าตอนนี้
ในวันที่เป็นนักกิจกรรมคุณคณาสิตบอกแล้วว่าบทบาทคือการร้องขอวิงวอน แล้ววันที่เป็นนักการเมืองล่ะ มันเปลี่ยนไปอย่างไร
พอเป็นพรรคการเมือง มันต้องหาสมดุลในหลาย ๆ ส่วน อาจจะไม่สามารถสุดโต่งได้เหมือนเดิมแต่มันก็ต้องตกลงกันในพรรคว่าพรรครับได้ไหม แต่เรื่องการแต่งตัวเหมือนเดิมค่ะ ไม่ต้องเปลี่ยนปรับอะไรเลย เพราะพอก้าวเท้าเข้าสู่พรรคการเมือง เราก็บอกเขาตั้งแต่แรกว่าจะเป็นตัวเองนะ ถ้ารับไม่ได้ตั้งแต่ตรงนี้เราก็ไม่ต้องทำงานร่วมกัน จะมาบอกให้ฉันลบลิปสติกไม่ได้ จะมาบอกหนูอย่าแต่งตัวแบบนี้นะ ไม่ได้ ฉันจะใส่ ฉันจะแต่ง ตราบใดที่มันเป็นตัวตนของฉัน ฉันจะทำ ซึ่งเขาโอเคให้เราเป็นตัวเองเต็มที่ เราไม่ได้สูญเสียอัตลักษณ์ไป แต่ถามว่ามันมีสายตาของเพื่อน ๆ ผู้สมัครหรือคนในพรรคมองมาไหม ก็มีบ้างนะ แต่คิวคิดว่ามันคงเป็นความเคยชินของเขาที่เจออะไรที่แปลกจากระบบสองเพศแล้วจะตกใจนิดหน่อย หรือมองว่าไม่เหมาะสม แต่เราก็ไม่แคร์ เพราะถ้าเขามาถามหรือมาติงเราก็จะอธิบายให้ฟังดี ๆ ว่าเพราะอะไรเราถึงต้องแต่งตัวแบบนี้ ‘ว่านี่ไง ถ้าคิวไม่แต่งตัวแบบนี้แล้วจะรู้ไหมว่าที่พรรคเรามีนอนไบนารีคนหนึ่งกำลังทำงานการเมืองอยู่ บางคนดูรูปลักษณ์หน้าตาของคิวก็ตัดสินไปแล้ว มีอคติไปแล้วว่าคนแบบนี้ทำงานการเมืองได้อย่างไร’ นี่แหละค่ะคือการพิสูจน์ ว่าเราเป็นตัวเองแล้วก็ทำงานการเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ มันทำไปพร้อม ๆ กันได้
ณ วันนี้หลายคนก็ต้องการให้มีความหลากหลายในสนามการเมือง แต่สำหรับคุณคิวที่ต้องเป็นผู้เริ่มต้นในพรรคการเมือง ต้องท้าทายสายตาแม้แต่คนในพรรค อธิบายให้ฟังได้ไหม ว่าทำไมการเมืองต้องมีอัตลักษณ์ที่หลากหลาย
การมีตัวแทนของแต่ละกลุ่มสำคัญ เพราะเป็นแรงบันดาลใจให้ชุมชนว่ามันมีคนอย่างเราที่ทาลิปสติกแดง แต่งตัวแบบนี้อยู่ในพรรคการเมือง ไปทำนโยบาย ไปขึ้นเวที ไปสัมภาษณ์ได้ พูดถึงการเมืองได้ คนในชุมชนจะมีกำลังใจ เยาวชนก็มองเห็นว่าตัวเองก็มีสิทธิ วันหนึ่งเขาอาจจะเลือกทางนี้ก็ได้
สมัยก่อนเรารู้สึกห่างไกลกับการเมืองมาก ไม่ใช่แค่เรื่องของนโยบายอย่างเดียว แต่มันไม่มี LGBT+ อยู่ตรงนั้น เรามองไม่เห็นภาพของใครที่มีปฏิสัมพันธ์กับตัวเราในนั้นเลย สมมติฉันมีปัญหาอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศอัตลักษณ์ ใครจะแก้ปัญหาให้ฉัน การไม่เห็นตัวแทนของพวกเรามันทำให้เราห่างจากการเมืองไปอีก
แต่คิวคิดว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนไป ถ้าตอนคิวเป็นเด็กแล้วเจอตัวแทนประชาชนอย่างพี่กอล์ฟ ธัญญ์วาริน ได้เห็น ส.ส. LGBT+ ในสภาตอนนั้น เราอาจจะมีความตั้งใจหรืออยากเป็น ส.ส. อยากจะเข้าไปทำงานการเมืองตั้งแต่เด็กก็ได้ ยายของคิวชอบอวยพรอยู่แล้วว่าอยากให้เป็นเจ้าคนนายคน อยากให้ไปเป็น ส.ส. ซึ่งสมัยเด็กเราขำนะ เราตลกมากเลย เพราะเราไม่เคยเห็น LGBT+ เป็น ส.ส. เลย เพราะในตอนนั้น สำหรับคนทั่วไป การเป็นส.ส. ก็ห่างไกลอยู่แล้ว หนึ่ง จะเป็นนักการเมืองต้องมีอิทธิพล มีเงิน สอง เราเป็น LGBT+ แล้วจะไปเป็นนักการเมืองได้อย่างไร เราก็เลยได้แต่ขำ แต่พอวันนี้ กลับบ้านไปจับมือยายแล้วก็ขอบคุณที่อวยพร วันนี้มันใกล้กับฝันที่ยายเคยบอกเรามากขึ้นเยอะเลย มันเป็นไปได้แล้วนะ วันหนึ่งเราจะเป็น ส.ส. วันหนึ่งเราจะทำในสิ่งที่ยายเคยอวยพรให้เรา
การเป็นคนในชุมชมผู้มีความหลากหลายทางเพศสำคัญยังไงต่อการเป็นผู้ออกแบบนโยบายเพื่อคอมมูนิตี และหลังจากได้ลงสนามการเมืองแล้ว คนในชุมชนมีการตอบรับอย่างไรบ้าง
เรารู้สึกได้เลยว่าเพื่อน ๆ แฮปปี้ สังเกตจากยอดไลค์และการปฏิสัมพันธ์ต่าง ๆ ตอนคิวลงนโยบายของพรรคเรื่องนี้ เพราะเพื่อนค่อนข้างไว้วางใจในระดับหนึ่งที่เราเข้าไปสู่พรรคการเมือง แล้วจะขับเคลื่อนในประเด็นของนอนไบนารี คิดว่าเพื่อนวางใจว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงที่พยายามจะจำจี้จำไช เน้นย้ำว่าจะต้องครอบคลุมคนทั้งหมดนะ แล้วนั่นต้องหมายถึงใครบ้าง ไม่ว่าจะเป็นวงนโยบายเรื่องอะไรเราก็พยายามที่จะทำเท่าที่จะทำได้อยู่ตลอดเวลาเพื่อที่จะสื่อสารเรื่องนี้
เพราะมี LGBT+ ที่เป็นตัวแทนของพวกเรา มีความเข้าใจเราจริง ๆ หลายคนอยู่ในพรรคพยายามจะผลักดันเรื่องของพวกเราเข้าไปตรง เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้นโยบายมันก้าวหน้าขึ้นมา เพราะฉะนั้นนี่คือความสัมคัญว่าทำไมเราต้องผลัก ผู้หญิงและ LGBT+ ที่เข้าใจเรื่องเฟมินิสต์เข้าใจเรื่องสิทธิความหลากหลายทางเพศเข้าสู่พรรคการเมือง
แปลว่าคุณคณาสิตซื้อ Gender Quota และคิดว่าสภาผู้แทนราษฎรต้องมีสัดส่วนของผู้มีความหลากหลายทางเพศและกลุ่มเปราะบางอื่นๆ
คิวไม่ได้บอกว่า การที่เป็นนอนไบนารี การที่เป็นผู้หญิงตรงเพศ จะมาพร้อมกับความเข้าใจในประเด็นสิทธิทางเพศเลย ไม่ใช่ แต่อย่างน้อย ๆ พวกเรารับรู้และเข้าใจสิ่งที่ถูกกดทับได้ เราต้องเคยประสบพบเจอมา ไม่ว่าเราจะซื้อไม่ซื้อเรื่องเฟมินิสต์หรือไม่ก็ตาม แต่ถ้าคุณเป็นผู้หญิงตรงเพศ ในชีวิตคุณต้องเจอเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับประเด็นเรื่องเพศมาแน่ หรือคุณเป็นผู้มีความหลากหลายทางเพศ ถ้าคุณไม่เจอ เพื่อน หรือคนรอบตัวคุณต้องเจออะไรบางอย่าง คุณจะเห็นอกเห็นใจและเข้าใจเขาได้มากกว่า เพราะฉะนั้นเรื่องโควตาสำคัญ แต่คิววงเล็บไว้ว่าต้องเข้าใจในประเด็นเรื่องเพศ อันนี้ข้อที่หนึ่ง ข้อที่สอง โควตาสำคัญที่เราบอกว่าเราเป็นสภาผู้แทนราษฎร ตัวแทนจะต้องสะท้อนสัดส่วนของประชากรที่มีอยู่จริงในประเทศด้วย ไม่อย่างนั้นมันจะเรียกว่าตัวแทนไหม เพราะฉะนั้นสภายังไม่ได้ตอบตรงโจทย์นี้ และไม่ใช่แค่เรื่องประเด็นเรื่องเพศ คนพิการ ผู้อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV ชาติพันธุ์ มันสะท้อนหรือยัง สภานี้เป็นสภาผู้แทนที่สะท้อนสัดส่วนจริงของประชากรหรือยัง เพราะถ้าเรายังมีไม่ครบทุกนโยบาย ไม่ครบทุกกลุ่มคน แล้วเราจะไปแก้ไขปัญหาของพี่น้องเราที่เป็นกลุ่มเฉพาะอย่างไร มันเป็นไปไม่ได้ นี่คือ 100 เปอร์เซ็นต์ที่คิวซื้อเรื่องโควต้าแน่นอน เพราะว่าโควต้าจำเป็นในตอนนี้ แต่ในระยะยาว ถ้าวันนั้นทุกอย่างมันถูกแก้ไขได้แล้ว ความแตกต่างระหว่างเพศไม่ได้มีผลแล้วกับ การเติบโตในหน้าที่การงาน ไม่ได้มีผลแล้วกับการทำงานใดๆ เราค่อยมาคุยกันเรื่องนี้อีกทีหนึ่ง
นโยบายอะไรที่คณาสิต พ่วงอำไพในฐานะตัวแทนจากชุมชนผู้มีความหลากหลายทางเพศมองว่า ‘ต้อง’ เกิดขึ้นให้ได้ในรัฐบาลสมัยที่จะถึงนี้
รับรองทุกเพศสภาพสิคะ เพราะมันคือจุดหมายสำคัญของชุมชน ไม่ใช่แค่การรับรองในกฎหมาย พ.ร.บ. เท่านั้นแต่มันคือการเอาคำว่านอนไบนารี ไปอยู่ในรัฐธรรมนูญของไทย การรับรองเพศคือจุดเริ่มต้นของการที่กฎหมาย ได้มองเห็นและรับรู้ตัวตนของนอนไบนารี ซึ่งจะตามมาด้วยแรงกระเพื่อมอีกมากมาย ในการแก้ไขเปลี่ยนแปลง ในการให้ความหมาย ในการมองเห็นเรา เรื่องนี้จะเป็นการตอกเสาเข็มลงไปเลยว่า มันมีคนนอนไบนารีในสังคมนี้ มันมีคนข้ามเพศอยู่ และเราจะปฏิบัติกับเขาอย่างไร ทุกกฎหมายที่เคยระบุแค่สองเพศ หรือกฎหมายที่ไม่เคยเห็นหัวพวกเรา ก็จะต้องเห็นแล้วเพราะว่าเรามีตัวตนในทางกฎหมาย
เพราะฉะนั้นมันเหมือนวงน้ำที่กระเพื่อมออกไป ความเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นไปเรื่อย ๆ แล้วบางอันไม่จำเป็นต้องถึงมือเราด้วยซ้ำ แต่คนที่เขาอยู่ในแวดวงนั้นเมื่อเขาเห็นแล้วว่ามันมีการระบุคำนี้ มันมีคนกลุ่มนี้ ในกฎหมาย เขาจะแก้มัน เหมือนกฎหมายแรงงานที่คิวได้ยินข่าวมาว่าตอนนี้กลุ่มแรงงานเอง พอเขาเริ่มได้ยินว่ามีคนนอนไบนารี มีความหลากหลายทางเพศ เขามองว่าจะต้องแก้ไขประเด็นที่ล้าหลังในเรื่องแรงงาน เช่น การแบ่งน้ำหนัก ยกน้ำหนักเป็นเพศชายกับเพศหญิงตามเพศกำเนิด ซึ่งจะมีลิมิตว่าผู้ชายยกได้เท่านี้ ผู้หญิงยกได้เท่านี้ แล้วนอนไบนารียกได้เท่าไร ซึ่งอันนี้เป็นคำถามที่เจอในเวทีรับฟังความคิดเห็นต่อ ร่าง พระราชบัญญัติรับรองอัตลักษณ์ทางเพศสภาพ การแสดงออกทางเพศสภาพและคุณลักษณะทางเพศ พ.ศ. … มันอาจจะยังไม่มีคำตอบ แต่สิ่งที่เราได้ทราบคือกลุ่มแรงงานเขาก็เริ่ม เขามองว่ามันจะต้องแก้ไขประเด็นที่ล้าหลังในเรื่องแรงงานเหล่านี้ โดยที่เรายังไม่ต้องไปทำอะไร กฎหมายจะต้องมีการแก้ไขปรับปรุงอยู่แล้ว แต่จะแก้อย่างไรให้มันสอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน กับการให้คุณค่าเรื่องเพศในสมัยปัจจุบัน นี่ค่ะ คือระลอกคลื่นที่คิวบอก
คิวเคยคุยกันในพรรคด้วยว่าเวลาไปขึ้นเวทีดีเบตประเด็นเรื่องเพศกับการเมือง พรรคเราค่อนข้างมีแต้มต่อ เพราะนโยบายของเราค่อนข้างครบ ทีนี้มันอยู่ที่ตัวของผู้สมัครเองแล้วล่ะว่า จะไปโดดเด่นฉายแสงได้แค่ไหน เพราะว่าพอมันมีครบ คุณก็พูดได้หมดสมมติคิวได้โอกาสแบบไปเวทีพูดเรื่องการเมืองกับความหลากหลายทางเพศ ฉันจะเชิดเลย ‘มีค่ะ พรรคเราทำสมรสเท่าเทียม’ ตอนนี้เรามีเรื่องของรับรองเพศสภาพด้วยนะคะ ยกเลิกการเกณฑ์ทหารแล้วก็คำนึงถึงกลุ่มคนข้ามเพศด้วยค่ะ รวมถึง Sex Worker กลุ่มผู้หญิงข้ามเพศพอถูกเลือกปฏิบัติจากการจ้างงาน อาชีพที่จะทำได้ก็มีน้อย มันก็เลยคาบเกี่ยวว่าเขาก็เลยต้องไปเป็น Sex Worker เราจะยกเลิก พ.ร.บ. ค้าประเวณี แล้วก็เปลี่ยนใหม่เป็นการคุ้มครองสวัสดิการแทน ก็มีชัด เพราะฉะนั้นแล้ว เวลาขึ้นเวที โอ้โฮ สบายเลย แต่ทีนี้มันคือจุดเริ่มต้นเนาะ มันคือธงอยู่ ในกระบวนการพูดคุยกับภาคประชาสังคม ในการนำเสนอเข้าสู่สภา ไปดูรายละเอียดกันอีกทีว่า มันครอบคลุมหรือยัง แล้วเดี๋ยวค่อยว่ากัน
ภาพรวมของนโยบายและการรับรู้ของสังคมก็มองว่าพรรคก้าวไกลค่อนข้างก้าวหน้าในเรื่องนโยบายทางเพศ นี่คือเหตุผลที่คณาสิต พ่วงอำไพเชื่อมั่นในพรรคการเมืองนี้ ตั้งแต่ในยุคอนาคตใหม่ มาจนถึงวันนี้ที่เป็นพรรคก้าวไกลหรือเปล่า?
ไม่ใช่เพราะว่าพรรคก้าวหน้าเรื่องนี้นะ แต่มันเริ่มต้นจากพรรคเป็นพรรคที่มีโอกาสให้ทำเรื่องนี้ แรกเริ่มเดิมทีเราก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าพรรคจะทำเรื่องนี้ได้จริงหรือเปล่า จนกระทั่งได้เข้ามาสัมผัสแล้วรู้สึกว่าเสียงและการทำงานของเรามันสะท้อนไปถึงกรรมการบริหารในพรรคได้ คิวเคยเสนอประเด็นไปถึง ผอ. ฝ่ายนโยบาย เขียนไปหลายหน้า แน่นอนว่าเขาก็ไม่ได้เอาด้วยทั้งหมด แต่สิ่งที่เขาเอาด้วยก็คือสมรสเท่าเทียม เราก็โอเค ก็ยังดี เรามองว่าพรรคเป็นพาหนะที่พอจะพาให้เราไปสู่เป้าหมายของเราได้ และเรื่องนี้พิสูจน์แล้วจากการผลักดันสมรสเท่าเทียมเข้าสู่สภา
หลังจากนั้นเราเห็นพรรคมีความตั้งใจจริงใจในเรื่องนี้ก็เลยรู้สึกว่าความก้าวหน้าเรื่องนี้ ไม่ได้เกิดจากการที่พรรคมีอยู่เดิม แต่เกิดจากคนอย่างเราและหลาย ๆ คนเข้าไปมีพื้นที่แล้วสามารถส่งเสียงผลักดัน ต่อให้คนในพรรคอาจไม่ได้ยอมรับทั้งหมด แต่เขาก็รับฟังแล้วให้พื้นที่เราบ้าง แต่มันก็มีการต่อสู้กับความคิดหลาย ๆ ชุด มีหลายคนที่ต่อต้านโดยอ้างเรื่องเหตุผลทางศาสนา เราก็ต้องสู้ในพรรคด้วย เพราะในพรรคเองไม่ได้เป็นแนวคิดที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ต้องช่วงชิงปักหมุดว่าวิธีไหนที่เราจะทำให้เรื่องนี้กลายเป็นนโยบายหลักของพรรค
จริง ๆ คิวคิดว่าคนในพรรคยังไม่ค่อยเข้าใจนะ เพราะว่าจริง ๆ นโยบายของพรรคก้าวไกล เปิดมามี 300 กว่านโยบาย แล้วคนหนึ่งคน มันก็จะถนัดอยู่ไม่กี่ด้าน มันไม่ได้ทั้งหมดหรอก แต่พอกลายเป็นนโยบายของพรรคไปแล้ว ก็ต้องทำ อาจจะไม่ได้รู้รายละเอียดขนาดนั้นแต่ไม่มีใครอยู่ดี ๆ ลุกขึ้นมาต่อต้านหรอก เพราะสิ่งที่ประกาศ เป็นที่สุดแล้วค่ะ ถ้าพรรคปักธงเรื่องไหน จะทำเรื่องไหนแล้วก็ต้องทำ แต่ก็ต้องยอมรับว่าไม่ใช่ทุกคนที่อยากจะเข้าใจทั้งหมด
ก่อนหน้านี้ก็มีคนในพรรคที่แสดงท่าทีไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจน และสื่อสารทางทวิตเตอร์ว่า “Party List ก้าวไกลรอบนี้ ระวังจะไปเปลี่ยนเพศทางชีววิทยา / เพศสรีระตามธรรมชาติกำเนิดนะครับ” ซึ่งน่าตกใจที่เป็นมุมมองจากจากสมาชิกพรรคที่มีนโยบาย ‘รับรองทุกเพศสภาพ คำนำหน้าตามสมัครใจ’ และต่อมาคุณคิวได้เข้าไปตอบกลับว่าโพสนั้นพาดพิงถึงตัวเองด้วย
ประเด็นคือเขาไม่เห็นด้วยกับการเรียกร้องของชุมชนนอนไบนารีในเรื่องรับรองเพศสภาพกับการที่เราไม่ต้องการให้ระบุเพศที่ถูกกำหนดตอนเกิด แต่พูดตลอดว่าไม่ได้เป็น Anti-LGBT+ เพราะว่าเขาสนับสนุนสมรสเท่าเทียม จริง ๆ เราไม่อยากโต้ตอบ แต่เพราะทนถ้อยคำอย่างนี้ไม่ได้ เรารู้สึกว่าการที่คุณไม่สนับสนุนคนกลุ่มหนึ่งในชุมชนก็คือ Anti-LGBT+ แล้ว
คิวไม่ค่อยเชื่อเท่าไรเมื่อมีคนมาพูดว่าสนับสนุนสมรสเท่าเทียม สนับสนุนความหลากหลายทางเพศ เรามองว่าบางคนอาจยังไม่ได้เปลี่ยน แต่เพราะสมรสเท่าเทียมเป็นนโยบายของพรรค เป็นสิ่งที่ตอนนี้สังคมตกผลึกไปแล้ว แต่เรื่องต่อไปที่เขาจะต่อต้านคือเรื่องการรับรองเพศสภาพ ที่แม้จะมีนโยบายออกมาแล้ว แต่ยังไม่เคยมีการถกเถียงเนื้อหาจริง ๆ ตอนนี้เราปักธงได้แล้วว่าต้องรับรองทุกเพศสภาพ คำนำหน้าตามสมัครใจ ซึ่งชุมชนนอนไบนารีได้ผลักดันคำนำหน้าที่เป็น นาย นางสาวหรือนาม และการไม่ระบุคำนำหน้าเลย เรื่องนี้ก็น่าจะยากไม่แพ้สมรสเท่าเทียม เพราะฉะนั้นเวลาใครพูดว่าสนับสนุนความหลากหลายทางเพศ ต้องมองต่อไปว่าลึก ๆ แล้วเขาสนับสนุนแค่ไหน หรือสนับสนุนเพราะเขาอยู่ในพรรคที่มีนโยบายนี้ แล้วมันเป็นการเมืองของเขาหรือเปล่า
การที่คนในพรรคเองไม่เข้าใจปัญหาของผู้มีความหลากหลายทางเพศ จนถึงกับต้องออกมาต่อต้าน อาจเรียกได้ว่าคือการต่อต้านมติพรรคในที่สาธารณะ สิ่งนี้คือการต่อสู้ที่คุณคณาสิตเตรียมใจไว้หรือไม่ มันยากหรือเปล่า
เราคิดว่าผู้มีความหลากหลายทางเพศ เข้าไปทำงานการเมืองไม่ง่าย เพราะมันยังประกอบไปด้วยอคติ อย่างเรา ก็โดนติงเรื่องก้าวร้าว ซึ่งเรารู้สึกว่าเราก็แค่พูดตรงไปตรงมา สมมติว่าคุณเป็นผู้ชายตรงเพศที่พูดด้วยความตรงไปตรงมา คุณอาจไม่ได้ถูกตีตราว่าเป็นคนก้าวร้าวแต่กลายเป็นคนที่กล้าหาญก็ได้ใช่ไหม ว่าต่อสู้กับเผด็จการ โอ้โฮ ฟาดปังๆ ทุกคนชมว่ากล้าหาญ แต่เราที่เป็นนักสิทธิทางเพศและเป็นผู้มีความหลากหลายทางเพศ เวลาวิจารณ์พรรค หรือวิจารณ์โครงสร้างความไม่เสมอภาคทางเพศ กลายเป็นเราก้าวร้าวรุนแรง มันค่อนข้างไม่ยุติธรรมสำหรับผู้มีความหลากหลายทางเพศและผู้หญิง คิวคิดว่ามันเกิดเหตุการณ์เหล่านี้เพราะมีมายาคติมีอคติเรื่องระบบสองเพศและชายเป็นใหญ่อยู่ พฤติกรรมบางอย่างถ้าไม่ใช่ผู้ชายตรงเพศ-รักต่างเพศทำ จะไม่ถูกให้คุณค่า หรือถูกมองเป็นลบไปเลย
คิวรู้สึกได้เลยว่าพอถึงเวลาที่รายละเอียดการรับรองเพศสภาพเปิดออกมา จะต้องทำงานอย่างหนักหน่วงแน่ ๆ ทั้งกับสังคม ทั้งในพรรคการเมืองเอง นี่แหละคือสิ่งที่รู้สึกว่าในชีวิตนี้เราต้องทำ อย่างน้อย ๆ เรื่องนี้จะต้องทำให้สำเร็จ แต่การต่อสู้ในประเด็น ความเสมอภาคทางเพศมันต้องทำไปเรื่อย ๆ เนอะ อย่างที่บอก ต่อให้มีกฎหมายแล้ววันหนึ่งเราอาจจะถูกยกเลิก เราอาจจะมีคนมาต่อต้าน มันจะต้องมีคนคอยดูแลเรื่องนี้ไปเรื่อย ๆ แต่ ในช่วงชีวิตของเรา เอาเรื่องนี้ก่อนแล้วกัน เท่าที่เรามองแล้วว่าเราพอจะทำได้ แล้วเรื่องต่อไปก็ต้องฝากฝังให้คนในชุมชนต่อนั่นแหละ ว่าจะทำยังไงต่อ ถ้ามีเรื่องรับรองเพศสภาพ แล้วค่อยว่ากันอีกทีว่าวันนั้นฉันจะไปอยู่ที่ทุ่งดอกไม้ หรือว่าจะต้องขับเคลื่อนต่อ แต่จริง ๆ อยากเกษียณเหมือนกันค่ะ ไม่อยากจะทำเรื่องนี้ไปจนตายเหมือนกัน
ในฐานะผู้ที่รับศึกหนักทั้งในพรรคและนอกพรรค คุณคณาสิตพึงพอใจกับการทำงานในประเด็นเพศที่พรรคก้าวไกลทำอยู่หรือยัง
คิวรู้สึกว่า คำว่าพรรคการเมืองมันคือพื้นที่ของคนทุกคน มันไม่ได้มีใครมีอำนาจน้อยหรือมากกว่ากัน ถ้าคุณเชื่อว่าพรรคก้าวไกลจะเป็นแบบนั้นได้ คุณต้องพิสูจน์ตั้งแต่ตอนนี้เลย ว่าคนอื่นที่เห็นต่างจากคุณ คนที่เขาตั้งใจทำเรื่องนี้ คุณให้พื้นที่เขาแค่ไหน แล้วคุณจะมาโกรธเขาไม่ได้ เพราะสุดท้ายแล้วนี่คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับพรรคค่ะ ถ้าเราปักหมุดว่าเราจะเป็นพรรคที่ก้าวหน้าในความเสมอภาคทางเพศคุณจะต้องไปให้ถึง ไม่ใช่แค่นี้
ในอนาคตก็อาจเกิดความรุนแรงทางเพศจากคนทำงานการเมืองอีก และมีโอกาสเกิดขึ้นกับทุกพรรค จากนี้มันอยู่ที่ว่าเมื่อเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว พรรคการเมืองมีความจริงใจจะทำอะไรแค่ไหน สิ่งที่คุณให้ความสำคัญคืออะไร กลัวจะเสียหน้า หรือให้คุณค่ากับคนที่ถูกกระทำแค่ไหน คุณมองเห็นอะไรจากตรงนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นในฐานะพรรคการเมืองที่มีประชาชนคนหนึ่งเดือดร้อนในเรื่องนี้ คุณทำอย่างไร เรื่องเหล่านี้สำคัญ แต่ตอนนี้ ยังทำได้ไม่ดีพอ ไม่กล้าจะออกมาขอโทษ ไม่กล้าที่จะดำเนินการอย่างเด็ดขาดและไม่กล้าที่จะไปขอโทษเหยื่อ ไม่กล้าที่จะคุ้มครองเหยื่อหรือตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนที่ถูกกระทำ ยังไม่พูด ยังมองว่าเป็นเรื่องการเมือง ยังกลัวว่าพรรคจะเสียหายอยู่
จากที่คุณคิวพูดมาเราเห็นภาพค่อนข้างครบในเรื่องนโยบายที่คำนึงถึงเรื่องเพศของพรรคก้าวไกล แล้วอะไรคือก้าวต่อไปของการทำงานเรื่องความหลากหลายทางพรรค ที่คุณคณาสิตจะลงมือทำต่อไป
ประเด็นที่หนึ่ง เรื่อง All Gender Restroom ประเด็นเกี่ยวกับห้องน้ำสำหรับทุกเพศ จริง ๆ คิวเสนอไปตั้งแต่ตอนอนาคตใหม่แล้ว สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับ พรบ.ควบคุมอาคารและพื้นที่สารธารณะ ประเด็นที่สอง กฎหมายปกป้องอาชญากรรมความเกลียดชังทางเพศ กฎหมายตัวนี้จะปกป้อง เยียวยา และทำให้ตำรวจมองเห็นความรุนแรงด้วยเหตุแห่งนี้ ณ วันนี้มีกรณีเป็นหลักสิบ ดูน้อย แต่จริง ๆ แล้วก็เพราะไม่มีการเก็บข้อมูลด้วย เพราะตำรวจไม่ได้ให้ความสำคัญกับอาชญากรรมความเกลียดชัง เขาไม่รู้ว่ามันมีคนบางกลุ่มที่มีโอกาสถูกฆ่าสังหารจากความเกลียดชังมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ อยู่ นี่คือสิ่งที่มันหายไปจากสารบบ หายไปจากมุมมองในการตรวจสอบคดี เพราะฉะนั้นแน่นอนว่าวันหนึ่งที่มีโอกาส เราจะทำเรื่องนี้