
นุ กฤศนุ เงินโสภา ช่างสักผู้มีประสบการณ์ทำงานกว่า 15 ปี และเจ้าของร้าน De’Bear Ink ร้านสักที่เขาเปิดเอง เป็นช่างเอง ให้บริการแบบไพรเวทที่มีลูกค้าต่อคิวรอรับบริการอย่างต่อเนื่อง นอกจากการโลดแล่นในวงการสักแล้วกฤศนุยังเป็นที่รู้จักจากการถ่ายแบบและออกรายการอย่าง Take Guy Out Thailand รวมไปถึงรายการประกวดที่โด่งดังในชุมชนเกย์อย่าง Mr. Gay World อีกด้วย
แต่เกิดมาเป็นคนเพศหลากหลายในสังคมบิดเบี้ยวย่อมไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบ การเดินทางสู่การโอบรับอัตลักษณ์ของเกย์คนหนึ่งจากองค์ความรู้เรื่องเพศในสังคมไทยที่น้อยนิด คุณนุไม่มีแบบอย่างว่าเพศวิถีแบบไหนที่จะไม่กระทบต่อตัวตน เพราะในสังคมไทยการเป็นเกย์เหมือนเป็นแพ็กเกจ 1 แถม 1 ว่าต้องตลกเท่านั้นคนถึงจะยอมรับ ภาพจำตายตัวต่อคนเพศหลากหลายของสังคมไทยช่างคับแคบ
โดยเฉพาะเมื่อมันกระทบรุนแรงต่อแพชชั่นแรงกล้าที่เขามีต่ออาชีพช่างสัก กว่าจะได้รับการยอมรับอย่างทุกวันนี้ คุณนุต้องต่อสู้กับปัญหาการเลือกปฏิบัติจากวงการสักที่มีภาพจำว่าเป็นวงการที่ ‘ผู้ช๊ายผู้ชาย’ มากที่สุดวงการหนึ่ง เพื่อยืนยันว่าการเป็นเกย์ไม่ได้ส่งผลอะไรกับอาชีพของเขาทั้งนั้น
Spectrum ชวน ‘กฤศนุ เงินโสภา’ คุยถึงเส้นทางการเติบโตจากเด็กที่ไม่กล้าเปิดเผยตัวตนมาสู่การชัดเจนในอัตลักษ์ของตัวเอง และอาชีพช่างสักที่ทำให้ต้องพบเจอกับประสบการณ์การเลือกปฏิบัติ นอกจากนี้ยังบอกเล่าเรื่องราวรสนิยม ‘เกย์หุ่นหมี’ ที่แทบไม่เคยได้รับการพูดถึงจนวันนี้ที่มีที่ทางและได้รับการยอมรับมากขึ้น จนอาจกล่าวได้กว่าทำให้สังคมเกย์ในไทยมีความแตกต่างหลากหลายเพิ่มขึ้นอีกเฉด
.
หลายคนอาจจะได้ยินชื่อ ‘กฤศนุ เงินโสภา’ จากการประกวด Mr. Gay World เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมว่าเพราะอะไรถึงตัดสินใจไปประกวด
จริง ๆ มันเริ่มจากความอยากสนุก อยากทำอะไรที่ไม่เคยทำ อยากออกนอกกรอบที่เคย แล้วเราก็มองว่าบุคลิกอย่างเราไม่ได้มีเยอะ และอยากให้คนส่วนใหญ่เห็นว่าคนที่มีลายสักเยอะ ๆ ไม่ได้เป็นคนเลวร้าย อย่าเพิ่งตัดสินจากการมองแค่ว่ารอยสักเต็มตัวแล้วจะดูเป็นคนไม่ดี คือเรามาจากต่างจังหวัดซึ่งจะมองคนมีรอยสักติดลบไปแล้ว เลยคิดว่าอยากเอาตัวเองเข้าไปประกวดแล้วทำให้คนเห็นว่าการที่เราชอบลายสักมันไม่ได้เป็นสิ่งที่ผิดนะ ไม่ได้คิดว่าจะต้องได้ตำแหน่งอะไรแค่ไปสนุกแล้วก็ให้คนรู้แค่นั้นเองครับ
ตอนนั้นมีผู้เข้าประกวดที่มีรอยสักหรือมีรูปลักษณ์แบบเราบ้างไหม แล้วผลตอบรับจากผู้ชม เพื่อนร่วมกอง หรือคณะกรรมการเองเป็นอย่างไรบ้าง
คนที่เห็นรอยสักชัด ๆ เลยคงไม่มี มีแค่เราที่ลุคแบบมีรอยสัก โกนหัวมันก็เด่นในมุมของเรา แต่ก็ต้องยอมรับว่าคณะกรรมตอนแรกเห็นเราเขาก็จะมีความกลัวในระดับหนึ่ง ส่วนคนอื่น ๆ เราไม่รู้ว่าลึก ๆ เขาเป็นอย่างไร แต่รู้สึกว่าเราก็ทำดีที่สุดให้คนเห็นว่าคนมีร้อยสักไม่ได้ต้องโหดร้ายต้องอะไร แล้วยิ่งเราเป็น LGBT ด้วยมันทำให้อย่างน้อยเขาดูว่ามันซอฟต์นะ รอยสักไม่ได้แข็งกระด้างอย่างเดียว
หลังจากร่วมประกวดในเวทีที่เป็นเหมือนการ ‘เปิดตัว’ อย่างเป็นทางการกับคนจำนวนมาก ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่ใช่คนที่เปิดเผยอัตลักษณ์หรือรสนิยมทางเพศเท่าไหร่นัก ประกอบกับการที่ ‘ช่างนุ’ มีรูปลักษณ์ต่างจากเกย์ในภาพจำของสังคมส่วนมาก มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นอย่างไรบ้างไหมเมื่อทราบว่าเราเป็นเกย์
ด้วยความที่ก่อนหน้าที่เราไปเวทีเราเคยออกรายการมาก่อนมันเลยค่อนข้างที่จะรู้ในมุมกว้าง แต่ถ้าคนทั่วไปหรือลูกค้าก็ไม่ค่อยรู้ครับ ส่วนคนรอบข้างอย่างเพื่อนจะรู้อยู่แล้ว คือผมเริ่มบอกเพื่อนช่วงจะจบปริญญาตรี เพราะอึดอัดในการที่จะใช้ชีวิตแบบซ่อนตัวเอง รีแอคคือส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเชื่อ ก็จะบอกว่าเฮ้ยกูเห็นมึงติ๋ม ๆ ตอนเรียนเราเป็นคนเงียบมาก ไม่พูดไม่แสดงออก ขี้อาย เป็นคนเนิร์ดคนหนึ่ง เป็นเด็กติดเกม จะไม่ใช่ลุคนี้ที่คนจำได้ในปัจจุบัน
แล้วเปิดตัวกับพ่อแม่และครอบครัวในช่วงเวลาเดียวกันเลยไหม หรือว่าครอบครัวทราบอยู่แล้วหรือเปล่า
กับพี่น้องเราไม่คุยกันว่าเป็นอะไร แต่เรารู้ว่าใคร ก็คือมีครบอยู่ ส่วนพ่อแม่ผมเชื่อว่าเขารู้อยู่แล้วว่าลูกเป็นอะไร เพียงแต่เขาแค่จะพูดหรือไม่แค่นั้นเอง แต่สิ่งที่มันยืนยันเลยคือตอนที่ผมเลิกกับแฟนผู้หญิงที่คบกันเกือบ 4 ปี แม่ไม่ได้ว่าอะไรแต่ก็มาถามว่าแก่ไปแล้วใครจะดูแลเราแค่นั้น ถ้าพูดในช่วงวัยรุ่นเค้าไม่ได้ห่วงหรอก แต่ถ้าพูดถึงคนที่อายุจะ 40 มันก็มีนิดนึง เค้าห่วงว่าเราจะอยู่กับใคร ยิ่งเราไม่ได้มีใคร ไม่ได้มีรักที่ดีเท่าไหร่ในที่ผ่านมา มันก็เลยค่อนข้างจะแอบห่วงนิด ๆ
จริง ๆ แล้วเราไม่ค่อยได้คุยกันเรื่องชีวิตประจำวันหรอกครับ ไม่ได้สนิทขนาดนั้นเพราะด้วยพื้นฐานที่เราเป็น LGBT ที่อยู่ต่างจังหวัด เรารู้สึกว่าไม่ได้อยากบอกให้ใครรู้ หรือประกาศตัวว่าเป็นอะไร ก็เลยเป็นคนเงียบและเก็บตัว ส่วนหนึ่งเพราะเราไม่รู้ว่าเขาจะคิดยังไงถ้าไปพูดเรื่องแบบนี้กับเขา ก็เลยไม่ค่อยได้คุยกัน เราอยากคุยนะ อยากมีครอบครัวที่คุยกันได้ทุกเรื่อง แต่ด้วยความกลัวเลยไม่กล้าพูด
ช่วยเล่าให้ฟังได้ไหมว่ารู้ตัวเองตั้งแต่ตอนไหน และเส้นทางการโอบรับอัตลักษณ์ตัวเองในฐานะเกย์ที่ไม่ได้เปิดเผยกับครอบครัวมากนักต้องเผชิญกับอะไรบ้าง
ย้อนไปตอนเราเป็นเด็กอยู่ต่างจังหวัดจะไม่มีคำว่าเกย์ให้รู้จักมากมายนัก ภาพจำที่มีคือถ้าไม่เป็นผู้ชาย ผู้หญิง ก็เป็นกะเทยเป็นตุ๊ดที่แต่งหญิงไปเลย เราไม่ค่อยมีเพื่อนเพราะเรากลัวการยอมรับในตัวเองว่าเราเป็นอะไร แล้วด้วยสภาพแวดล้อมที่โรงเรียนที่เกิดการล้อกัน เสียดสีกัน เราไม่อยากเป็นคนที่ถูกทำร้าย ก็เลยไม่แสดงตัวเองแค่นั้น ไม่รู้ว่าคนอื่นเขาคิดอย่างไรแต่ว่าตอนนั้นที่เราเห็นคือ LGBT ถ้าไม่ทำตัวให้ตลกก็จะกลายเป็นตัวตลกของคนอื่น เราไม่ได้อยากเป็นอย่างนั้น เราก็เลยค่อนข้างจะปิดตัวเอง
มาเริ่มรู้สึกเอาจริงจังตอนขึ้นมัธยมปลาย แล้วก็จะหนักขึ้นก็ตอนมหาลัย ถึงตอนนั้นเราเริ่มรู้แล้วก็เลยค่อย ๆ ศึกษาตัวเราเอง พอรู้ว่ามีคนที่แต่งเป็นผู้ชายแล้วชอบผู้ชายด้วยกัน เราก็โอเคเราเป็นเกย์ แต่ด้วยความที่ไทป์ของเกย์ปกติคือชอบคนหล่อ หน้าตาดี หุ่นดี แต่เราจะเป็นคนชอบสายหมี สายอ้วน สาย chubby มันก็จะเอ๊ะ เราเป็นอะไร เพราะเมื่อ 10-20 ปีที่แล้วยังไม่ให้การยอมรับคนสายหมี คนหุ่นอ้วนเลย เราก็เลยค่อย ๆ หาจากอินเตอร์เน็ตมันก็มีกกลุ่มในเว็บไซต์นู่นนั่นนี่ แต่ตอนแรกมันก็ไม่เยอะ มีกลุ่มคนไทยแค่เว็บเดียว แต่หลัง ๆ มันเริ่มแตกแขนงไป คนเอเชีย ฝั่งยุโรปก็มี ตอนนั้นเราถึงค่อย ๆ ยอมรับตัวเองช่วงที่เราอยู่มหาลัย แต่ตอนที่ยอมรับตัวเองครั้งแรกเนี่ยมันเป็นอะไรที่อึดอัด แล้วมันเป็นช่วงเวลาที่แย่มาก ๆ เพราะว่าเราเดินไปไหนก็กลัวคนรู้ว่าเราเป็น ทั้งที่เรายอมรับตัวเองแล้ว แต่เรากลัวว่าคนนู้นเขาจะรู้ไหม คนนี้เขาจะรู้ไหม ก็เลยแก้ปัญหาด้วยการที่บอกกับทุกคนที่อยู่รอบตัวเราว่าเราเป็น ดูสิว่าทุกคนนั้นจะทำรีแอคกลับมายังไง
คุณนุเดินทางมาไกลมากจากเด็กที่ไม่กล้าเปิดเผยตัวตน มาสู่การทำงานในวงการช่างสักที่ถูกมองว่าเป็นงานของผู้ช๊ายผู้ชาย เล่าให้ฟังหน่อยว่าเข้าสู่วงการสักได้อย่างไร อยู่ในวงการสักมานานแค่ไหนแล้ว
เป็นช่างสักมาน่าจะ 15-16 ปีได้แล้วมั้ง เริ่มต้นจากการที่เรียนมหา’ลัยแล้ว มีรุ่นพี่กำลังจะเปิดร้านสัก แล้วเรากำลังจะจบพอดี ซึ่งที่บ้านจะเป็นทำนองว่าเรียนจบแล้วไม่ให้เงินแล้ว คุณต้องไปหาเงินเอง เพราะฉะนั้น ราก็จะทำอะไรล่ะ ที่เงินมันจะดีสุดในสายงานของศิลปะ ณ ยุคนั้นเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ถ้าไม่ใช่ร้านป้าย หรือการวาดรูป ก็ต้องงานสักนี่ล่ะครับ ก็เลยมาอยู่กับรุ่นพี่ที่ถนนข้าวสาร
เป็นการทำงานที่นานและได้ผ่านช่วงที่สังคมยังไม่ได้ยอมรับ ‘เกย์’ เท่าทุกวันนี้ เคยต้องเจอกับการเลือกปฏิบัติบ้างไหม
ถ้าเป็นเพื่อนในวงการสักกับเจ้าของร้านที่เราเคยไปทำงานมันไม่มีรีแอคที่แย่ เพราะกลุ่มคนที่เรารู้จักเขายอมรับได้กับสิ่งที่เราเป็น และเจ้าของร้านที่เราเคยทำงานหรือปัจจุบันก็ผู้หญิง แต่ก็ยังมีบางร้านที่เราที่เจ้าของเป็นต่างชาติที่เรามองว่าเขาน่าจะยอมรับ LGBTQ+ ได้ เคยจะไปสมัครแล้วเขาบอกเลยว่าไม่เอาเพศตรงกลาง เป็นผู้ชาย ผู้หญิงก็ได้แต่ไม่เอาเพศตรงกลาง
แล้วก็มีบางร้านที่เราไปอยู่ ด้วยความที่เราไม่เคยพูดว่าเป็นเพศไหน ตอนแรกก็ปฏิบัติกับเราดี แต่พอเขาเริ่มรู้บรรยากาศมันเปลี่ยนไป การวางตัวเปลี่ยนไป ตอนนั้นก็เริ่มรู้สึกอึดอัด มันเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เหมือนเดิมมันไม่เหมือนเพื่อนผู้ชายคุยกัน เพราะงั้นเราจะรู้สึกอึดอัดเอง แล้วเราก็จะออกมาอยู่เอง มาอยู่ในมุมของเราดีกว่า แต่เกิดขึ้นไม่บ่อยเพราะว่าผมจะไม่เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในจุดที่รู้สึกว่ามันไม่สบายใจ ถ้าอยู่จุดไหนแล้วมันไม่สบายใจแล้วเราทำไมจะต้องทำร้ายตัวเอง เราแค่พิสูจน์ให้คนเห็นว่างานเรามันดีก็พอ เดี๋ยวคนก็จะเข้ามาหาเราเอง
ส่วนลูกค้า เปอร์เซ็นของลูกค้าสักก็จะเป็นผู้ชายซะส่วนใหญ่ ในเมื่อส่วนใหญ่เป็นผู้ชายแล้วการจะมาถอดเสื้อ จะมาถอดกางเกงให้เราสัก แล้วถ้าเขารู้ว่าเราเป็นเพศที่ 3 หรือ LGBT เขาก็กลัว ด้วยความที่ไม่เข้าใจใน ในเพศของ LGBT แน่นอนว่าเขาก็กลัวเราจะไปลวนลามหรือไปปฏิบัติกับเขาไม่ดี เปอร์เซ็นต์ในการที่จะมาสักมันก็อาจจะน้อยลง
แล้วเรารู้สึกไหมว่าเพราะเป็นเกย์เลยต้องพิสูจน์มากกว่าคนอื่น ทั้งที่ช่างสักผู้ชายหรือผู้หญิงตรงเพศกำหนดอาจไม่ต้องมานั่งกังวลว่าจะถูกเลือกปฏิบัติจากเพศของเขา
รู้สึก แต่เราไม่จำเป็นต้องมานั่งพิสูจน์อะไรให้ใครยอมรับแล้ว ตอนเด็กเราเคยคิดอย่างนั้น แต่พอมีอายุขึ้นมา เรารู้สึกว่าก็ปล่อยให้งานของเรามันพิสูจน์ตัวเราเอง เราเต็มที่กับงานนั่นก็เหมือนเราพิสูจน์ตัวของเราเองแล้ว เพราะฉะนั้นเราไม่จำเป็นต้องไปป่าวประกาศว่าฉันเป็นคนดี หรือฉันมีฝีมือ เดี๋ยวงานเรามันจะบอกเองว่าเราเป็นคนอย่างไร
สุดท้ายแล้ว อยากให้ฝากข้อความถึงคนอ่านหรือคนที่ยังมีอคติต่อคนที่มีรอยสักเยอะ ๆ หน่อย
(หัวเราะ) เป็นคำเลยว่าเบสิกอย่าตัดสินคนที่รอยสัก มันใช้กันมาเป็น 10 ปีแล้วแหละ แต่เขาจะใช้กับผู้หญิงกับผู้ชายซะส่วนใหญ่ อยากจะให้เปิดใจด้วยว่าเกย์ที่มีรอยสักก็ไม่ใช่คนเลวร้าย ก็คนเหมือนกัน