“หน้าxี”
“ลูกกะหรี่”
“หน้าตัวเมีย”
“C*nt”
คงเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ที่ทุกคนต้องเจอกับเหตุการณ์ที่น่าโมโหจนทำให้ต้องเลือกคำด่าเจ็บ ๆ แรง ๆ สักคำจากคลังคำศัพท์ในสมองเราออกมาด่า บางทีเราก็ด่าไปแบบไม่ได้คิดอะไร หรือบางทีเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคำด่าบางคำมันมีความหมายว่าอะไร รู้แต่ว่ามันทำให้อีกฝ่ายเจ็บได้มากที่สุด จนไม่เคยได้ตระหนักเลยว่า คำด่าบางคำไม่ได้มีหน้าที่เป็นสื่อกลางเพื่อแสดงอารมณ์โกรธเท่านั้น หากแต่ยังเป็นการแสดงอคติทางเพศและการเกลียดชังต่อผู้หญิงที่โลกปิตาธิปไตยได้สร้างขึ้นมาอีกด้วย
SPECTROSCOPE: ‘Misogynist Swear Words’ คำด่าที่แฝงไปด้วยการเหยียดเพศหญิง ใช้ด่าเพศไหนสุดท้ายก็เจ็บถึงเพศหญิง
เชื่อว่าหลายคนอาจจะเกิดคำถามในใจว่า แล้วจะบอกว่าคำเหล่านี้มันแสดงถึงแต่ความเกลียดชังผู้หญิงได้อย่างไร ในเมื่อคำพวกนี้มันก็ใช้ด่าผู้ชายได้เหมือนกัน? ‘หน้าตัวเมีย’ ก็คือคำด่าที่ใช้ด่าผู้ชายแล้วผู้หญิงจะเดือดร้อนอย่างไร? วันนี้เราจึงจะพาทุกคนไปดูกันว่า คำด่าแบบไหนบ้างแฝงความเกลียดชังผู้หญิงไว้อย่างแนบเนียนอย่างไร และทำไมเราถึงควรเลิกใช้คำด่าเหล่านี้สักที
#SexualActsofWomenAsSwearWords คำด่าที่มาจาก ‘ผู้หญิงกับเรื่องเพศ’
ตัวอย่าง: ‘ร่าน’ ‘กะหรี่’ ‘โสเภณี’ ‘สำส่อน’ ‘ดอกทอง’ ‘ลูกกะหรี่’ ฯลฯ
เริ่มต้นด้วยคำด่าที่แสดงออกถึงการเหยียดเพศหญิงอย่างเห็นได้ชัด คำด่าข้างต้นนี้มักใช้ด่าผู้หญิงที่ไม่ประพฤติตนตามกรอบผู้หญิง ‘ที่ดี’ ที่สังคมกำหนดไว้ โดยเฉพาะในเรื่องเพศ โดยผู้หญิงจะถูกพร่ำสอนมาตั้งแต่เด็กว่าจะต้องรักนวลสงวนตัว ต้องไม่ปล่อยให้ผู้ชายมา ‘เจาะไข่แดง’ ถ้าไม่อยากโดนสังคมประณามว่าตัวเองเป็นผู้หญิงที่แปดเปื้อน ไม่บริสุทธิ์ และโดนสังคมแปะป้ายว่าเป็นผู้หญิงจำพวกเดียวกับคำด่าด้านบน
ในขณะที่เมื่อลองคิดแล้ว ในขณะที่ทางราชบัณฑิตยสถานยังบัญญัติคำว่า ‘ดอกทอง’ ให้แปลว่า ‘ผู้หญิงใจง่ายในทางประเวณี’ และระบุอย่างชัดเจนว่า ‘ใช้เป็นคำด่า’ แต่มีคำไหนไหมที่ใช่ด่าผู้ชายเมื่อมีคู่นอนหลายคน? คำว่า ‘เจ้าชู้’ ที่เรามักใช้กับผู้ชายก็มีความหมายเพียงแค่ ‘ผู้ใฝ่ในการชู้สาว’ เท่านั้น และคำอื่น ๆ ที่มักใช้เรียกผู้ชายลักษณะนี้ก็มีเพียง ‘เพลย์บอย’ ‘หน้าม่อ’ หรือไม่ก็เป็นคำชมที่มีความหมายในแง่บวกเช่น ‘คารมดี’
อย่างไรก็ตามความหมายที่แฝงอยู่ภายใต้คำที่ใช้กับผู้ชายเหล่านี้ก็ดูจะเทียบไม่ได้เลยกับเวลาผู้หญิงถูกแปะป้ายว่า ‘สำส่อน’ ‘ร่าน’ หรือถูกแปะป้ายว่าทำตัวเหมือน ‘กะหรี่’’ เพราะในขณะที่โลกปิตาธิปไตยได้จำกัดการแสดงออกในเรื่องเพศของผู้หญิงในกรอบแคบ ๆ ผู้ชายกลับถูกมอบโอกาสให้สามารถแสดงออกเรื่องเพศได้อย่างเสรี ยิ่ง ‘ครอบครอง’ ผู้หญิงได้เยอะก็ยิ่งมีความเป็นชายมากขึ้นเท่านั้น
เช่นเดียวกันกับคำว่า ‘โสเภณี’ และ ‘กะหรี่’’ ที่นอกจากจะใช้เป็นคำด่าผู้หญิงแล้วก็มักใช้เรียกผู้ประกอบอาชีพให้บริการทางเพศที่เป็นเพศหญิงเสียส่วนใหญ่ ในขณะที่ผู้ให้บริการทางเพศที่เป็นผู้ชาย เรามักจะเจอคำที่มีความหมายแฝงในทางค่อนข้างบวกและติดตลกมากกว่าเช่น ‘ผู้ชายขายน้ำ’ ‘เด็กนวด’ หรือ ‘หนุ่มบาร์โฮสต์’ ตอกย้ำถึงความสองมาตรฐานของสังคมในการตีตราผู้หญิงกับเรื่องเพศ
ยิ่งไปกว่านั้นคำว่า ‘ลูกกะหรี่’ หรือในภาษาอังกฤษ ‘son of a b*tch’ จะถูกใช้เพื่อด่าผู้ชาย แต่อย่างไรก็ตามหากดูดี ๆ ก็ยังคงเป็นการด่าผู้หญิงไปในตัวด้วยอยู่ดี เพราะการมองว่าการเป็นลูกของ ‘กะหรี่’ (b*tch) เป็นสิ่งที่น่าอาย เป็นลูกของผู้หญิงที่แปดเปื้อน และไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม
#FeminineBodyAsSwearWords คำด่าที่มาจาก ‘ร่างกายของผู้หญิง’
ตัวอย่าง: ‘หน้าxี’ ‘p*ssy’ ‘c*nt’ ฯลฯ
นอกจากคำด่าที่มีไว้เพื่อด่าผู้หญิงอย่างชัดเจนแล้ว ก็ยังมีคำด่าอีกมากมายที่แม้ไม่ได้เป็นคำด่าผู้หญิงโดยตรง แต่ก็เป็นคำที่มาจากอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของผู้หญิง โดยอวัยวะของผู้หญิงที่มักถูกหยิบมาใช้เป็นคำด่ามากที่สุดคือ อวัยวะเพศหญิง เช่นคำว่า ‘หน้าหี’ แสดงให้เห็นถึงการมองอวัยวะเพศหญิงเป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ เป็นสิ่งที่น่าอาย และควรปกปิด อีกทั้งคำเหล่านี้มักถูกใช้ด่าผู้ชาย เพื่อลดทอนความเป็นชายอันเป็นลักษณะที่สังคมปิตาธิปไตยเชิดชู
ในทำนองเดียวกัน ในภาษาอังกฤษก็ยังมีการใช้คำว่า ‘pussy’ และ ‘cunt’ ที่แปลว่า ‘อวัยวะเพศหญิง’ เป็นคำด่า โดยเฉพาะคำหลังที่เป็นคำด่าที่แรงที่สุดคำหนึ่งในภาษาอังกฤษและเป็นคำต้องห้ามรองจาก N-word ที่เป็นคำเรียกคนดำในสมัยที่ยังมีการซื้อขายแรงงานทาสคนดำ โดยทั้งสองคำนี้มักใช้ด่าฝ่ายตรงข้าม และลดทอนคุณค่าความเป็นคนของฝ่ายตรงข้าม ไม่ว่าจะเป็นเพศหญิงหรือชายก็ตาม
โดยกลุ่มเฟมินิสต์บางส่วนในช่วงทศวรรษที่ 1970 ได้กล่าวว่าการใช้อวัยวะเพศหญิงเป็นคำด่าที่รุนแรง เป็นการลดทอนค่าความเป็นคนของผู้หญิงโดยการแทนภาพของผู้หญิงด้วยอวัยวะเพศเพียงอย่างเดียว และแม้ว่าในภายหลังจะมีการพยายามทวงคืนคำว่า ‘cunt’ จากการเป็นคำด่าให้กลายเป็นคำที่มีความหมายเชิงบวกต่อร่างกายของสตรี แต่ก็ยังคงมีการใช้คำนี้เป็นคำด่าอย่างแพร่หลายในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษอยู่ดี
แน่นอนว่าก็มีคำด่าที่ใช้อวัยวะเพศชายเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นคำว่า ‘dick’ หรือ ‘dickhead’ แต่ก็ไม่ได้มีความหมายที่รุนแรงเท่าคำด่าจากอวัยวะเพศหญิง โดย Oxford Dictionary บัญญัติไว้ว่าเป็นเพียงคำที่ใช้ด่าผู้ชายที่ ‘โง่’ หรือ ‘น่ารำคาญ’ ในขณะที่ ‘cunt’ เป็นคำที่ใช้เพื่อแสดงถึง ‘ความโกรธหรือความเกลียดชังอย่างรุนแรง’ แสดงถึงการมองร่างกายของผู้หญิงว่าเป็นทั้งสิ่งที่ไม่พึงประสงค์จนสามารถใช้มาเพื่อลดทอนศักดิ์ศรีของมนุษย์ได้
และถึงแม้จะมีการใช้อวัยวะเพศชายมาใช้เป็นคำด่าอย่างคำว่า ‘ควย’ ในภาษาไทย แต่ในขณะเดียวกันสังคมก็ยังมีการตั้งชื่อเล่นให้กับอวัยวะเพศชายในเชิงบวกเช่นคำว่า ‘เจ้าโลก’ แสดงถึงการให้อำนาจแก่ผู้ที่มีอวัยวะเพศชายให้รู้สึกภูมิใจในจู๋ของตัวเอง สะท้อนบรรทัดฐานของสังคมที่ไม่ได้มองว่าร่างกายผู้ชายเป็นสิ่งที่น่าอาย หรือต้องปกปิดเท่าผู้หญิง
#FemininityAsSwearWords คำด่าที่มาจาก ‘ความเป็นหญิง’
ตัวอย่าง: ‘ไอตุ๊ด’ ‘เอากระโปรงมาใส่’ ‘หน้าตัวเมีย’ ‘… like a girl’ ฯลฯ
แน่นอนว่าในโลกปิตาธิปไตยที่เชิดชูความเป็นชายให้เป็นลักษณะที่ต้องการในสังคม ‘ความเป็นหญิง’ จึงถูกมองว่าเป็นคุณสัมบัติที่มีความด้อยกว่าเพศชายในหลาย ๆ ด้าน เช่นการมองว่าความเป็นหญิงคือต้องอ่อนแอกว่า มีความ ‘แมน’ น้อยกว่า ซึ่งเป็นลักษณะที่ไม่เป็นที่ชื่นชมของสังคมเมื่อมาอยู่ในร่างกายของผู้ชาย จึงเป็นที่มาของการนำความเป็นหญิงมาใช้เป็นคำด่า เพื่อลดทอนความเป็นชายในตัว
‘ไปเอากระโปรงมาใส่’ เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดกับการใช้ลักษณะความเป็นหญิงมาดูถูกเหยียดหยามผู้ชาย ว่าเป็นผู้ชายที่เหลาะแหละ หรือเป็นผู้ชายที่ไม่สามารถปฏิบัติตาม ‘ความเป็นชาย’ ที่สังคมกำหนดไว้ได้ เช่นเดียวกับคำว่า ‘หน้าตัวเมีย’ ที่แปลว่า ‘ลักษณะหน้าตาท่าทางคล้ายผู้หญิง, โดยปริยายหมายความว่า ใจเสาะ, ขี้ขลาด, ไม่กล้าสู้, (มักพูดเป็นเชิงเหยียดหยามผู้ชาย)’ ที่สะท้อนความคิดที่ว่าความเป็นหญิงคือคุณสมบัติอันไม่พึงประสงค์
เช่นเดียวกันในภาษาอังกฤษกับวลี ‘like a girl’ ที่แปลว่า ‘เหมือนกับเด็กผู้หญิง’ เพื่อดูถูกฝ่ายตรงข้ามโดยเฉพาะผู้ชาย โดยเมื่อใช้วลีดังกล่าวก็จะถูกยึดโยงไปกับการกระทำด้วยความ ‘อ่อนแอ’ หรือ ‘ไม่มีประสิทธิภาพ’ เหมือนเวลาเด็กผู้หญิงทำ เช่น ‘you run like a girl’ (วิ่งอย่างกับเด็กผู้หญิง) ซึ่งแปลว่า วิ่งได้ ‘ช้า’ เหมือนเด็กผู้หญิง สะท้อนอคติที่มีต่อผู้หญิงว่าไม่สามารถแข็งแรง และทำอะไรได้ดีเท่าผู้ชาย
ในขณะเดียวกัน หากนำความเป็นชายไปใส่ในตัวผู้หญิง ก็มีโอกาสน้อยกว่าที่จะกลายเป็นคำด่า เช่นการพูดว่า ‘ผู้หญิงคนนี้แมนมาก’ เป็นการชื่นชมผู้หญิงคนนั้น ทว่าการพูดว่า ‘ผู้ชายคนนี้สาวมาก’ นั้นกลับมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะความหมายของประโยคหลังกลับกลายเป็นการล้อเลียน หรือเป็นคำพูดที่สื่อไปในทางลบกับผู้ชายคนนั้นเพียงเพราะเขามีความเป็นหญิงอยู่ในตัว
‘ไอตุ๊ด’ ก็เป็นอีกหนึ่งคำที่มองว่า ความเป็นหญิงในร่างกายผู้ชายคือสิ่งที่ไม่เป็นไปตามบรรทัดฐานทางสังคม คือสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามหลักความเป็นชาย ที่นอกจากจะมองได้ว่าเป็นการแสดงความเกลียดชังความเป็นหญิงแล้ว ยังเป็นการตอกย้ำรากฐานความคิดของปิตาธิปไตยที่กำหนดให้โลกนี้เป็นโลกแบบทวิเพศ (binary) และปฏิเสธกกลุ่มคนเพศหลากหลายอีกด้วย
#RapeCultureInSwearWords คำด่าที่สนับสนุน ‘วัฒนธรรมการข่มขืน’
ตัวอย่าง: ‘เย*ดแม่’ ‘motherf*cker’ ‘sisterf*cker’ ‘c*cksucker’ ฯลฯ
เป็นที่รู้กันอย่างเป็นสากลว่า ผู้หญิงทั่วโลกต้องเสี่ยงกับการคุกคาม/ล่วงละเมิดทางเพศได้ง่ายกว่าผู้ชาย โดยจากสถิติแล้วผู้หญิงอเมริกัน 1 ใน 6 ต้องประกบกับการล่วงละเมิดทางเพศสักครั้งหนึ่งในชีวิตของพวกเธอ นอกจากนี้ในโลกปิตาธิปไตยที่เอื้อให้ผู้ชายมองผู้หญิงเป็นเพียงวัตถุทางเพศ ทำให้ ‘วัฒนธรรมการข่มขืน’ (Rape Culture) กลายเป็นเรื่องปกติในสังคมอย่างน่าเศร้าใจ ไม่ว่าจะเป็นฉากข่มขืนในหนัง ละคร หรือแม้กระทั่งคำด่าในชีวิตประจำวันเช่นกัน
การใช้คำอย่าง ‘เย*ดแม่’ ‘motherf*cker’ หรือ ‘c*cksucker’ จนเป็นเรื่องปกติก็ยังเป็นการตอกย้ำถึงการมองว่าผู้หญิงเป็นเพียงวัตถุทางเพศที่พร้อมจะเป็นที่รับรองอารมณ์ทางเพศอยู่ตลอดเวลาโดยไม่ต้องได้รับการยินยอม (consent) เนื่องด้วยบทบาททางเพศที่โลกชายเป็นใหญ่กำหนดให้พวกเธอ และยังเป็นการย้ำให้เห็นว่าเพศหญิงต้องเป็นเพศผู้ถูกกระทำโดย ‘ปกติ’
เช่นเดียวกับคำว่า ‘Sisterf*cker’ ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศอินเดีย ที่แม้ว่าจะมีความหมายตรงตัวคือการมีเพศสัมพันธ์กับพี่สาว/น้องสาว ของตัวเอง เป็นการตอกย้ำการสนับสนุนวัฒนธรรมการข่มขืน และมองผู้หญิงเป็นเพียงวัตถุทางเพศ แม้ว่าจะเป็นคำด่าที่มีเพื่อด่าผู้ชายโดยเฉพาะก็ตาม แต่คนที่ได้รับผลกระทบไปโดยปริยายคือผู้หญิง
#StopMisogynistSwearWords หยุดคำด่าเหยียดเพศหญิง
.
แม้ว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่มนุษย์จะเลิกด่ากัน เพราะไม่ว่าจะอย่างไรนั่นก็คือความเป็นธรรมชาติของเราทุกคน แต่จะดีกว่าไหมหากเราจะตระหนักถึงผลกระทบของคำด่าที่แฝงไปด้วยอคติต่อเพศหญิง เพราะยิ่งเราใช้คำเหล่านั้นอย่างเคยชินไปนานขึ้นเท่าไหร่ ก็เปรียบเสมือนกับเป็นการส่งต่ออคติทางเพศที่แฝงอยู่ในคำด่าเหล่านั้น จนทำให้เราซึมซับอคติต่อเพศหญิงไปอย่างช่วยไม่ได้
.
ความเป็นหญิง หรือความเป็นชาย ล้วนแต่เป็นคุณสมบัติที่ไม่ว่ามนุษย์เพศไหนก็สามารถมีทั้งสองอย่างได้ หรือเลือกที่จะไม่มีทั้งสองอย่างได้โดยไม่ทำให้คุณค่าในความเป็นมนุษย์ลดน้อยลง และไม่มีสิ่งไหนอยู่เหนือกว่าสิ่งไหน และไม่ควรมีเพศใดถูกด่าเพียงเพราะเพศอันเป็นอัตลักษณ์ของพวกเขา หากแต่ทั้งหมดล้วนเป็นคุณสมบัติที่จะช่วยสร้างความหลากหลายและเป็นเอกลักษณ์ของปัจเจกทุกคนบนโลกนี้
#Misogyny #Sexism #NoMisogynistSwearWords #WomensOppression
Content by Wattanapong Kongkijkarn
Graphic by Chutimol
อ้างอิง:
Jstor Daily: https://bit.ly/3UBVuav
RAINN: https://bit.ly/3FOG5Qd
TARSHIi: https://bit.ly/3WQkUDw
พจนาณุกรม ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554: https://bit.ly/3FSTGWB
#SPECTRUM #พื้นที่ความคิดของทุกสีสัน