‘กาฟิว’ นักเรียน LGBTQI+ ผูกคอ เสียชีวิต สังเวยกฎทรงผมโรงเรียน หลังโดนครูสั่งห้ามไว้ผมยาวและโดนนักเรียนคนอื่นบูลลี่ สะท้อนความล้มเหลวก.ศึกษาไทยล้าหลังและเหยียดเพศ

- Advertisement -

TW: ความรุนแรงในโรงเรียน การฆ่าตัวตาย

- Advertisement -

‘กาฟิว’ นักเรียน LGBTQ+ ณ โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดชัยภูมิ ตัดสินใจจบชีวิตลงด้วยการผูกคอ เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน หลังจากโดนคุณครูตำหนิเรื่องทรงผมผิดระเบียบและไล่ให้ไปตัดผมให้ถูกตามกฎทรงผมนักเรียนชาย อีกทั้งยังโดนบูลลี่จากนักเรียนด้วยกันเองว่า ‘ไม่สวย’ เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เยาวชนตกเป็นเหยื่อความรุนแรงภายใต้อำนาจของบุคลากรในสถานศึกษาจนทำให้เสียชีวิต

โดยเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน ‘อรนุช ผลภิญโญ’ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. พรรคก้าวไกลจังหวัดชัยภูมิ ได้โพสต์ลงเพจเฟสบุ๊กส่วนตัวเผยข้อความที่ได้พูดคุยกับคุณปู่ของน้องกาฟิวว่า “น้องกาฟิวเคยเล่าให้ปู่กับย่าฟัง ว่าก่อนหน้านี้ ถูกครูตำหนิเรื่องทรงผมที่ไม่ถูกระเบียบ ให้ไปตัดให้ถูกระเบียบของโรงเรียน และเพื่อนๆบูลลี่ ว่าไม่สวย ปู่ก็ไม่คิดว่านี่จะเป็นจุดของการสูญเสียหลาน”

“พ่อเล่าให้ฟังอีกว่า กาฟิว เป็นเด็กดี ถึงแม้ว่าน้องจะเป็นผู้ชายที่จิตใจเป็นผู้หญิง ปู่กับย่าก็ยังรักเหมือนเดิม กาฟิวช่วยงานบ้านแบ่งเบาภาระปู่กับย่าได้เป็นอย่างดี ปู่บอกว่ากาฟิวเป็นหัวหน้าห้องด้วย”

“ในวันเกิดเหตุ ปู่เข้าใจว่ากาฟิวไปเที่ยว เพราะปู่กลับจากเกี่ยวข้าวก็ประมาณ 4-5 โมงเย็น บ้านก็เงียบเชียบแต่ รถและรองเท้ายังอยู่ ตอนค่ำกินข้าวกินน้ำเสร็จก็นอนฟังอยู่ว่าหลานจะกลับมาเมื่อไหร่ โดยที่บ้านจะเป็น 2 ชั้น จะมีไฟเฉพาะด้านล่างและทุกคนจะอาศัยนอนข้างล่างเป็นส่วนใหญ่ ส่วนด้านบนไม่มีเพราะฐานะทางบ้านยากจน”

“เมื่อประมาณ 5 ทุ่ม ปู่รู้สึกผิดสังเกต จึงได้เอาไฟหม้อแบต ไปดูบนบ้าน จึงพบว่ากาฟิวเสียชีวิตในสภาพที่แขวนคอกับขื่อ จึงเรียกย่ามาดู ยังคงความเศร้าโศกเสียใจกับปู่และย่า สิ่งที่เห็นต่างหน้าครั้งสุดท้ายคือจดหมายลา ที่เขียนข้อความว่า รักปู่กับย่า กาฟิวไม่อยู่แล้ว ขอให้ปู่กับย่าดูแลน้องต่อไป”

“พ่ออยากให้ยกเลิกระเบียบที่บังคับเรื่องการแต่งกายหรือทรงผมกับเด็ก ที่เค้าควรมีอิสระมีสิทธิ์ในร่างกายของเค้า และขอให้กาฟิวเป็นคนสุดท้ายที่ต้องมาเสียชีวิตด้วยระเบียบเหล่านี้” คือสิ่งที่คุณปู่น้องกาฟิวกล่าวถึงกฎระเบียบของโรงเรียนและบุคลากรทางการศึกษาซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่พรากชีวิตหลานอันเป็นที่รักของเขาไป (อ่านต่อได้ที่: https://bit.ly/3VbjJgf)

เหตุการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความคับแคบและล้าหลังของระบบอำนาจนิยมในโรงเรียนของไทย ที่ยังคงบังคับใช้กฎระเบียบอันไม่คำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของเด็กและเยาวชน และเป็นกฎระเบียบที่มองข้ามความแตกต่างหลากหลายในเพศสภาพของนักเรียน จนทำให้เกิดบาดแผลทางจิตใจของนักเรียน LGBTQ+ และทำให้เกิดเหตุสลดแบบน้องกาฟิวมานับไม่ถ้วน

โดยการวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหิดลเรื่อง “การรังแกต่อกลุ่มนักเรียนที่เป็นหรือถูกมองว่าเป็นคนข้ามเพศหรือคนรักเพศเดียวกัน ในโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา: รูปแบบ ความซุก ผลกระทบ แรงจูงใจ และมาตรการป้องกันใน 5 จังหวัดของประเทศไทย’ เผยให้เห็นว่ามีนักเรียน LGBTQ+ ในสถานศึกษาอยู่ประมาณร้อยละ 11.9 ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงสวนทางกับกฎระเบียบโรงเรียนที่ยังมองว่ามีเพียงนักเรียนเพศชาย และหญิงอยู่

ผนวกกับบริบทโรงเรียนในไทยที่มักมีการลงโทษนักเรียนจากการแต่งกายและทรงผม ส่งผลให้นักเรียน LGBTQ+ ตกเป็นกลุ่มที่มักถูกลงโทษ ประจาน หรือทำให้อับอายโดยครูผู้มีอำนาจในโรงเรียน โดยจากการวิจัยดังกล่าวพบว่านักเรียนที่มีความหลากหลายทางเพศมักถูกคุณครูพูดกระทบเสียดสี และกลั่นแกล้ง เช่นมีการหักคะแนนโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือเพราะหมั่นไส้ รวมไปถึงมีการเรียกนักเรียนเพศกำหนดชายที่ไว้ผมยาวมาประจานหน้าเสาธง และอื่น ๆ อีกมากมาย

นอกจากนี้ จากงานวิจัยยังพบอีกว่านักเรียนที่มีอัตลักษณ์เพศหลากหลายมากกว่าครึ่ง (ร้อยละ 55.7) เคยถูกรังแกในโรงเรียนจากนักเรียนด้วยกันเพียงเพราะอัตลักษณ์ทางเพศของตัวเอง เช่นการถูกทำร้ายร่างกาย ต่อย เตะ ตี ขังไว้ในห้องน้ำ รวมไปถึงการคุกคามทางคำพูดเช่น การด่าท่อ ล้อเลียน หรือการกีดกันไม่ให้เข้ากลุ่ม เป็นต้น

แม้ว่าจะมีการปรับปรุงกฎระเบียบให้เปิดกว้างมากขึ้นตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน พ.ศ. ที่อนุญาตให้นักเรียนชายไว้ผมยาวได้ แต่ก็ยังจำกัดไม่ให้ไว้ผมด้านหลังยาวเกินตีนผม ซึ่งยังถือเป็นการกีดกันไม่ให้กลุ่มนักเรียน LGBTQ+ ไม่สามารถข้ามเพศเป็นผู้หญิงได้ตามที่ตนต้องการ และแม้ว่าในกฎระเบียบจะไม่มีการระบุให้คุณครูตัดผมนักเรียนได้ แต่ก็ยังมีข่าวคุณครูล่วงละเมิดสิทธิในร่างกายนักเรียนให้เห็นกันอยู่บ่อย ๆ

ความล้มเหลวของสถานศึกษาไทยในการตระหนักถึงคุณค่าความเป็นมนุษย์และความหลากหลายทางเพศของนักเรียน ส่งผลให้ชีวิตของนักเรียนเพศหลากหลายต้องเสี่ยงกับการโดนกลั่นแกล้ง การเลือกปฏิบัติ และความรุนแรง และสิ่งเหล่านี้สามารถนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตที่อาจนำมาซึ่งความสูญเสียแบบเดียวกับกรณีของน้องกาฟิว ที่เลือกจบชีวิตตัวเองลงเพราะสังคมรอบข้างไม่ยอมรับและรังแกเพียงแค่เขาต้องการเป็นตัวของตัวเองเท่านั้น

เหตุการณ์ในครั้งนี้จึงทำให้เกิดคำถามในสังคมไทยว่า จะต้องมีชีวิตของเด็ก ๆ LGBTQ+ อีกกี่ชีวิตที่ต้องถูกสังเวยให้กับความเกลียดชัง จนกว่าผู้มีอำนาจในสังคมจะตระหนักถึงปัญหาเหล่านี้? และเราควรจะปล่อยโรงเรียนให้เป็นที่ที่ทำร้ายและพรากชีวิตเยาวชนส่วนหนึ่งในสังคม แทนที่จะเป็นสถานที่หล่อหลอมเยาวชนให้เติบโตเพื่อเป็นพลเมืองโลกที่ดีไปอีกนานแค่ไหน?

ทางสเปคตรัมขอแสดงความอาลัยให้กับการสูญเสียของน้อง ‘กาฟิว’ และขอร่วมประณามการกระทำใด ๆ ก็ตามที่แสดงถึงการลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ของกลุ่ม LGBTQ+

#HumanRights
#TransLivesMatter
#LGBTQLivesMatter

Content by Wattanapong Kongkijkarn

อ้างอิง:
Facebook ‘Tai Oranuch – ต่าย อรนุช ผลภิญโญ’: https://bit.ly/3VbjJgf
iLaw: https://bit.ly/3gn0C41
The Matter: https://bit.ly/3AvSViK
#SPECTRUM #พื้นที่ความคิดของทุกสีสัน

- Advertisement -
SPECTRUM
SPECTRUM
พื้นที่ความคิดของทุกสีสัน